บทความทางกฎหมาย
: หลักกฎหมายและบทเรียนทางสังคมจากกรณีรถกระบะขวางทางรถพยาบาล
โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
สืบเนื่องจากข่าว “ รถกระบะจอดกีดขวางทางเข้า-ออกของรถพยาบาลฉุกเฉิน (บริเวณพื้นที่ฉุกเฉิน) ของโรงพยาบาลปลายพระยา จังหวัดกระบี่ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยซึ่งจำเป็นจะต้องนำขึ้นรถพยาบาลเพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลกระบี่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่มีศักยภาพสูงกว่าได้ทันและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เป็นประเด็นทางสังคมที่นำมาซึ่งผลทางกฎหมายหลายประการ
ข้อเท็จจริงโดยสรุปของเหตุการณ์
ในคืนเกิดเหตุ เวลาประมาณ 23:10 น. นาย ส. อายุ 69 ปี
ซึ่งเป็นผู้ป่วยวิกฤตที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและภาวะการหายใจล้มเหลว
จำเป็นต้องได้รับการส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลกระบี่
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่มีศักยภาพสูงกว่าอย่างเร่งด่วน
ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเคลื่อนย้ายนายสมควรฯ
ซึ่งเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขึ้นรถพยาบาล พบว่ามีรถกระบะ ๔ ประตู สีน้ำตาล มาจอดปิดท้ายรถพยาบาลไว้
ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นรถได้ตามระบบที่ออกแบบไว้ เจ้าหน้าที่และญาติของผู้ป่วยได้แจ้งให้คนขับรถกระบะซึ่งพาแม่
(วัย ๖๙ ปี ที่ป่วยด้วยกรดไหลย้อน) เข้าห้องฉุกเฉินไปเลื่อนรถออก แต่คนขับรถกระบะกลับไม่ให้ความร่วมมือและยังคงโวยวาย
เนื่องจากไม่พอใจที่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลมารดาของตนก่อน
การเจรจาและการอ้อนวอนจากลูกสาวของผู้ป่วยวิกฤตใช้เวลาหลายนานนาที
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องขู่ว่าจะเรียกตำรวจ คนขับกระบะจึงยอมไปเลื่อนรถออก
อย่างไรก็ตาม การส่งตัวผู้ป่วยวิกฤตที่ล่าช้า และผู้ป่วยได้เสียชีวิตในที่สุด ดังนั้น
ญาติผู้เสียชีวิตจึงเชื่อว่าหากไม่มีรถกระบะมาจอดขวางรถพยาบาล พ่อของตนอาจถูกนำส่งโรงพยาบาลกระบี่ซึ่งมีศักยภาพมากกว่าได้ทันและรอดชีวิต
การวิเคราะห์ความผิดตามกฎหมายอาญา
:
๑.สถานะของ “โรงพยาบาล” และ “บุคลากรของโรงพยาบาล”
โรงพยาบาลปลายพระยา เป็น โรงพยาบาลของรัฐ
สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้น “พยาบาล” จึงเป็น “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และเป็น “ เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมาย
๒.
ความรับผิดของ “คนขับรถกระบะ” กับ “โรงพยาบาล”
๒.๑
การที่ “เจ้าหน้าที่พยาบาล” ขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยวิกฤตอันถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่
ได้แจ้งให้คนขับรถกระบะเลื่อนรถซึ่งจอดขวางทางรถพยาบาลออกเพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤตไปส่งยังโรงพยาบาลส่งต่อ
แต่คนขับรถกระบะกลับไม่ยอมเลื่อนรถให้
โดยยังคงกีดขวางการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาล อันเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน
อันอาจเป็นความผิดฐาน “ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน”
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๑๓๘
มาตรา ๑๓๘ ผู้ใดต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๒.๒ นอกจากนี้ ในระหว่างเกิดเหตุคนขับรถกระบะไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะเลื่อนรถให้
แต่ยัง "เอะอะโวยวายเสียงดัง" ใส่เจ้าหน้าที่
และมีปากเสียงกับญาติผู้ป่วย อันอาจจะเป็นความผิดฐาน “ ดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่” ซึ่งต่อมาคนขับรถกระบะเองก็ยอมรับในภายหลังว่าตน
"ขาดสติ" และมีการพูดจาโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้จะต้องพิจารณาถ้อยคำที่คนขับรถกระบะพูดโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๖
มาตรา
๑๓๖ ผู้ใด “ดูหมิ่น” เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่
ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
๓๙๓ ผู้ใด “ดูหมิ่น” ผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
๓. ความรับผิดต่อ “ญาติผู้ป่วยวิกฤต”
(กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและภาวะการหายใจล้มเหลว)
การที่โรงพยาบาลปลายพระยา
ส่งผู้ป่วยวิกฤต(กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและภาวะการหายใจล้มเหลว)
ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลกระบี่ซึ่งเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่มีศักยภาพมากกว่านั้น ความรวดเร็วในการส่งต่อเป็นเรื่องสำคัญ
“ ทุกนาที คือ นาทีชีวิต”
การที่ผู้ขับรถกระบะ
๔ ประตู สีน้ำตาล มาจอดปิดท้ายรถพยาบาลไว้ ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นรถพยาบาลได้ตาม
“ ระบบที่ออกแบบ” ไว้ ครั้นเมื่อเจ้าหน้าที่พยาบาลและญาติของผู้ป่วยได้แจ้งให้คนขับรถกระบะซึ่งพาแม่
(วัย ๖๙ ปี ที่ป่วยด้วยกรดไหลย้อน) เข้าห้องฉุกเฉินไปเลื่อนรถออก แต่คนขับกระบะกลับไม่ให้ความร่วมมือและยังคงโวยวาย
เนื่องจากไม่พอใจที่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลมารดาของตนก่อน กว่าคนขับรถกระบะจะยอมเลื่อนรถออกให้ก็ใช้เวลานานหลายนาที
เป็นเหตุให้ผู้ป่วยวิกฤตเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ทั้งนี้ หากโรงพยาบาลกระบี่ซึ่งมีศักยภาพมากกว่าสามารถรับตัวผู้ป่วยวิกฤตรายนี้ได้ทัน
ผู้ป่วยรายนี้ก็อาจจะรอดชีวิตได้
ดังนั้น
(หาก) ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คนขับรถกระบะมี “เจตนา” หรือ “จงใจ” ที่จะไม่เลื่อนรถ
เพื่อให้รถพยาบาลนำผู้ป่วยวิกฤตไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลกระบี่ได้ทัน โดยมีเจตนาให้ผู้ป่วยวิกฤตเสียชีวิต
กรณีเช่นนี้ “อาจจะ” เป็นความผิดฐาน “ ฆ่าผู้อื่น” ก็ได้ ( ไม่ว่าจะเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลก็ตาม)
ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
แต่การที่คนขับรถกระบะ
ไม่ยอมเลื่อนรถที่จอดขวางทางรถพยาบาลในทันทีที่ พยาบาลร้องขอ
และญาติผู้ป่วยวิกฤติร้องขอ แต่กลับโต้เถียงส่งเสียงเอะอะโวยวาย กว่าที่คนขับรถกระบะจะยอมเลื่อนรถกระบะออกไปเพื่อให้รถพยาบาลนำส่งผู้ป่วยวิกฤตได้นั้น ใช้เวลานานหลายนาทีจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยวิกฤตส่งต่อโรงพยาบาลกระบี่ได้ทันท่วงที
และผู้ป่วยวิกฤติเสียชีวิตในที่สุด
การกระทำของคนขับรถกระบะในลักษณะดังกล่าว “อาจจะ” เป็นความผิดฐาน “ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑
มาตรา
๒๙๑บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำโดยประมาท
และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน
๑๐ ปี และปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
การกระทำโดยประมาท:
หมายถึง การกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง
ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นควรจะต้องมีและใช้ความระมัดระวัง ซึ่งผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้
แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
ดังนั้น
การที่คนขับรถกระบะจอดรถกีดขวางท้ายรถพยาบาล
โดยไม่ทราบว่ารถพยาบาลกำลังเตรียมจะออกหรือมีผู้ป่วยฉุกเฉินรอขึ้นรถฉุกเฉินอยู่หรือไม่
และปฏิเสธการเคลื่อนย้ายรถในภาวะที่เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อาจถูกตีความว่า เป็นการกระทำที่ขาดความระมัดระวังอันเป็นวิสัยที่วิญญูชนคนทั่วไปพึงมี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “พื้นที่หน้าห้องฉุกเฉิน” ของโรงพยาบาล ( ซึ่งผู้กระทำสามารถใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ด้วยการไม่จอดรถกีดขวางท้ายรถพยาบาลและ
เลื่อนรถออกทันทีที่ได้รับการแจ้งหรือร้องขอว่ากีดขวางรถพยาบาล
แต่ผู้กระทำหาได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นไม่
ผู้กระทำกลับจอดรถกีดขวางท้ายรถพยาบาลและไม่ยอมเลื่อนรถออกทันทีที่ได้รับการแจ้งหรือร้องขอ)
อัน “อาจ” ถือได้ว่า เป็นการกระทำโดยประมาทของคนขับรถกระบะ
การกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่:
ต้องพิจารณาว่า การที่คนขับรถกระบะ
ไม่ยอมเลื่อนรถที่จอดขวางทางรถพยาบาลในทันทีที่พยาบาลร้องขอและญาติผู้ป่วยวิกฤติร้องขอ
แต่กลับโต้เถียงส่งเสียงเอะอะโวยวาย
กว่าที่คนขับรถกระบะจะยอมเลื่อนรถกระบะออกไปเพื่อให้รถพยาบาลนำส่งผู้ป่วยวิกฤตได้นั้น ใช้เวลานานหลายนาทีจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำส่งผู้ป่วยวิกฤตส่งต่อโรงพยาบาลกระบี่ได้ทันท่วงที
และผู้ป่วยวิกฤติเสียชีวิตในที่สุด ผลจากการกระทำโดยประมาทดังกล่าวนั้น เป็นเหตุให้ผู้ป่วยวิกฤตเสียชีวิตหรือไม่
หากความตายเป็นผลจากการกระทำโดยประมาทดังกล่าว
คนขับรถกระบะจะต้องรับผิดในการกระทำโดยประมาทในลักษณะดังกล่าว ตามบทกฎหมายข้างต้น
ซึ่งพนักงานสอบสวนจักต้องสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป
"พ่ออาจจะยังรอดชีวิต
หากกระบะไม่จอดรถขวาง"
คำพูดของญาติของผู้ป่วยวิกฤต
จึงเป็นประเด็นสำคัญในการพิจารณา "ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผล"
(Causation)
๔. ความรับผิดต่อสังคม
นอกจาก
“ ความรับผิดทางอาญา” ที่ตำรวจกำลังดำเนินการออกหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและสอบปากคำชายเจ้าของรถกระบะ
ยังเกิดผลกระทบทางสังคมและการจ้างงาน โดยบริษัทต้นสังกัด (CPF)
ได้ยุติการจ้างงานพนักงานรายดังกล่าว เนื่องจากพฤติกรรมไม่สอดคล้องกับค่านิยมและหลักการดำเนินงานขององค์กร
๕.
ข้อเสนอแนะ: บทเรียนทางสังคมที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้
๕.๑ ความตระหนักถึงความสำคัญของ “เวลา”
ในภาวะฉุกเฉิน
เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่า
เวลาเพียงเสี้ยววินาที อาจเป็นตัวตัดสินชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉินได้
การจอดรถขวางและปฏิเสธการเลื่อนรถทำให้การส่งต่อผู้ป่วยวิกฤตล่าช้าไปหลายนาที
ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งต่อผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน สังคมจึงตระหนักมากขึ้นว่า
การขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาวะฉุกเฉินมีผลร้ายแรงถึงชีวิต
๕.๒ การให้ความสำคัญกับ “ความเป็นมนุษย์”
และการร่วมมือในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เหตุการณ์นี้เรียกร้องให้สาธารณชน
คำนึงถึง "ความเป็นมนุษย์" และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ แทนที่จะก่อให้เกิดการยั่วยุหรือกีดขวางการปฏิบัติงาน
แม้ว่าคนขับรถกระบะจะมีความกังวลต่อมารดาของตนที่ป่วย แต่การกระทำที่ขาดสติ
โดยการเอะอะโวยวายและปฏิเสธการเลื่อนรถในพื้นที่ฉุกเฉินของโรงพยาบาล
ได้นำไปสู่การสูญเสียของอีกครอบครัวหนึ่ง
๕.๓ ความเข้าใจในข้อจำกัดทางเทคนิคและโครงสร้างของโรงพยาบาล
แถลงการณ์ของโรงพยาบาลปลายพระยาได้ให้ข้อมูลทางเทคนิคที่สำคัญแก่สาธารณะเกี่ยวกับพื้นที่หน้าห้องฉุกเฉิน:
•
บริเวณที่จอดเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
•
เจ้าหน้าที่และทีมแพทย์จำเป็นต้องรักษาระดับและมุมของรถพยาบาลให้สัมพันธ์กับระบบเปลและรางล็อกที่ออกแบบไว้
เพื่อให้สามารถนำผู้ป่วยขึ้นรถได้อย่างปลอดภัย
การเคลื่อนย้ายรถพยาบาลโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านโครงสร้างอาจทำให้การช่วยเหลือชะงักหรือเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
๕.๔ ผลกระทบทางจริยธรรมและการจ้างงาน
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขัดขวางการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์
นำมาซึ่งผลกระทบที่รุนแรงต่ออาชีพการงาน
บริษัทต้นสังกัดได้ยุติการจ้างงานชายเจ้าของกระบะเนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าว
ไม่สอดคล้องกับค่านิยมและหลักการดำเนินงานขององค์กร สิ่งนี้ส่งสัญญาณไปยังสังคมว่า
การกระทำที่ขาดความรับผิดชอบส่วนบุคคลในภาวะวิกฤต
อาจส่งผลกระทบที่ใหญ่กว่าความรับผิดทางกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว
·
นายวรเทพ
สกุลพิชัยรัตน์
อัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด
๑.
(อดีต)รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
และสิทธิมนุษยชน(คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน (
สมัยที่ ๒๕)
๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๘
