บทความทางกฎหมาย
โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
เรื่อง การเป็นเจ้าอาวาส (เจ้าพนักงาน) กับ ความผิดฐานยักยอกเงินวัด:
บทวิเคราะห์กรณี
"ทิดแย้ม"
ปัญหา “การยักยอกเงินวัด” และ “ การทุจริตในวงการสงฆ์”
เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในสังคมไทยในยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ "ทิดแย้ม" อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง
ซึ่งกลายเป็นบทวิเคราะห์สำคัญที่เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของวัดและสถานะของพระภิกษุผู้ปกครองวัด
๑. กรณีศึกษา:
การยักยอกเงินวัดไร่ขิงโดย "ทิดแย้ม"
ข้อมูลจากข่าวพบว่า “
พบเส้นทางการเงินประมาณ ๓๐๐ กว่าล้านบาท ที่ (อดีต) เจ้าอาวาสใช้วิธีโอนตรง และ โอนผ่านคนอื่นรวม
๓ เส้นทางไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นาง อ. (สีกา ก.) ก่อนที่ นาง อ. (สีกา ก.) จะโอนเงินเข้าบัญชีเกี่ยวกับการพนันอีก ๖ - ๗
บัญชี ซึ่งทำให้ตำรวจสงสัยว่าอาจมีความลับ ความสัมพันธ์ หรือ มีการเล่นการพนันเกิดขึ้น
(อดีต) เจ้าอาวาสเองก็มีท่าทางเป็นทุกข์เพราะเงินวัดหมด
และได้ไปยืมเงินจากวัดต่างๆ จนไม่รู้จะยืมที่ไหนแล้ว โดยมีช่วงที่น่าตกใจคือ เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
๒๕๖๖ มีการโอนเงินให้ สีกา ก. ประมาณ ๘๐ ล้านบาทภายในเดือนเดียว
ภาพรวมพบเงินกว่าพันล้านบาทต้น ๆ ที่ (อดีต) เจ้าอาวาสโอนให้สีกา ก. รวม ๔ บัญชี
ซึ่งมียอดเงินหมุนเวียนรวมกว่า ๒ พันล้านบาท
นอกจากนี้ การตรวจสอบยังพบว่า “ วัดมีบัญชีเป็นร้อยบัญชี”
แต่กลับมีการรายงานไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
“เพียง ๔ บัญชี” เท่านั้น แสดงให้เห็นถึง การปกปิดบัญชีเงินของวัด นอกจากนี้
ยังมีรายได้ที่ไม่มีการเปิดบัญชี เช่น เงินสดจากการประมูลแผงร้านเช่าขายของ
ซึ่งรับเป็นเงินสดและเข้าตรง (อดีต) เจ้าอาวาสโดยตรง (เกือบ ๒๐๐ ล้านบาทใน ๕ ปี)
และเงินทอดกฐินประมาณ ๒๐ ล้านบาท ก็เข้า
(อดีต) เจ้าอาวาสโดยตรงเช่นกัน
ผู้ได้ประโยชน์หลักจากเรื่องนี้มีผู้หญิง
๒ คน คือ "สีกา บ." และ "สีกา ก." ในช่วงแรกตั้งแต่ปี ๒๕๕๑
เป็นต้นมา เมื่อ "ทิดแย้ม" มาเป็นเจ้าอาวาส สีกา บ.และ หมอ ส.
ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงที่ ทิดแย้มทำ “ โครงการหมู่บ้านศีล ๕ ” ในช่วงนี้มีการนำเงินวัดไปสร้าง
"อาณาจักร" ของ สีกา บ. รวมถึงการสร้างอุทยานที่ขอนแก่น
การซื้อที่ดินใกล้เคียง การสร้างสวนเกษตร ๑๘ ไร่ที่มุกดาหาร
(มูลค่าหลายสิบล้านบาท) การสร้างร้านกาแฟและบ้านหลังใหญ่ ๒-๓ หลังที่สุโขทัย
การสร้างบ้านพักและรีสอร์ทที่กำแพงเพชร และการซื้อที่ดินที่เชียงใหม่
รวมถึงในพื้นที่อื่นๆ อีกหลายจังหวัด
การเอาเงินวัดไปสร้างอาณาจักรนี้เกิดขึ้นก่อนที่ สีกา ก. จะเข้ามา
หลังการจับกุม "ทิดแย้ม"
ยอมรับสภาพและยอมสึก
๒. สถานะ "เจ้าอาวาส" กับการเป็น
"เจ้าพนักงานตามกฎหมาย"
ประเด็นสำคัญในคดี “ การยักยอกเงินวัด”
คือ “สถานะของเจ้าอาวาส” โดยกฎหมายได้กำหนดให้ “ พระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์
เป็น “เจ้าพนักงาน”ตามกฎหมาย” โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดที่ยืนยันสถานะนี้
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔ ได้กำหนดความหมายของ "เจ้าพนักงานของรัฐ"
ซึ่งครอบคลุมถึงผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ รวมถึง องค์กรอื่นใดที่ใช้อำนาจรัฐ
หรือได้รับมอบให้ดำเนินการทางปกครอง
การที่เจ้าอาวาสมีอำนาจในการดูแลและจัดการทรัพย์สินของวัด
ทำให้เจ้าอาวาสถูกจัดเป็น "เจ้าพนักงานของรัฐ"
ซึ่งสามารถถูกดำเนินคดีในฐานความผิดที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ได้
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
มาตรา ๔๕ ให้ถือว่า “ พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร
เป็นเจ้าพนักงาน” ตามความในประมวลกฎหมายอาญาประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา๑
( ๑๖ ) บัญญัติว่า "เจ้าพนักงาน"
หมายความว่า บุคคลซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าเป็นเจ้าพนักงานหรือ ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ
ไม่ว่าเป็นประจำหรือครั้งคราว และไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๓๐๔ /
๒๕๕๖
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๔๕
บัญญัติว่า ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกรเป็น
“เจ้าพนักงาน” ตามความในประมวลกฎหมายอาญา" และตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๓
(พ.ศ. ๒๕๒๐) ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๓๖)
ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว ข้อ ๔ กำหนดว่า
"การปกครองคณะสงฆ์แต่ละคณะให้มีบรรพชิตเป็นผู้ปกครองตามตำแหน่ง ดังนี้ (๑๑)
“ เจ้าอาวาส " ดังนี้
เมื่อขณะเกิดเหตุจำเลยซึ่งเป็นพระภิกษุและได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
ซึ่งเป็นตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ตามกฎกระทรวง จึงถือว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน
ตามประมวลกฎหมายอาญาตามบทบัญญัติตังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๐๓
– ๒๐๐๕ / ๒๕๐๐
ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นพระภิกษุได้รับแต่งตั้ง
เป็นเจ้าอาวาส ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่การงานในทางทุจริตเรียกเอาเงินสินบนในการให้เช่าที่ดินของวัด
มีความผิดฐาน “ เป็นเจ้าพนักงานรับสินบน”
การที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์บัญญัติไว้ว่า
พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้
ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญานั้น บ่งชัดถึงอำนาจและหน้าที่
กล่าวคือ เมื่อมีอำนาจในวัดเหมือนเจ้าพนักงานแล้วหากกระทำความผิดในหน้าที่ก็จะต้องเป็นผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำความผิดด้วย
๓. ความผิดฐาน " ยักยอกทรัพย์"
กับ พฤติการณ์ในคดี “ยักยอกเงินวัด”
ความผิดฐาน “ ยักยอกทรัพย์” คือ การที่บุคคล
“ ครอบครอง” ทรัพย์สินของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย แล้ว “เบียดบัง”
ทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ซึ่งมีโทษ “ จำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐
บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ( ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ )
คดีความผิดฐาน “ ยักยอกทรัพย์ ” เป็น “ คดีอาญาอันยอมความได้
” ( เมื่อร้องทุกข์ได้ จึงถอนคำร้องทุกข์ได้
)
แต่
ผู้เสียหายจะ “ ต้องร้องทุกข์ หรือ ฟ้องเป็นคดีอาญา ” ภายใน ๓ เดือน นับแต่ รู้เรื่อง และ รู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้น
คดีจะขาดอายุความ
หากผู้เสียหายรู้เมื่อพ้นกำหนด ๑๐ ปี
นับแต่วันเกิดเหตุแล้ว จะดำเนินคดีไม่ได้ เพราะคดีขาดอายุความเช่นกัน
วิเคราะห์คดีของ " ทิดแย้ม "
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวแล้ว แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ อาจเข้าข่ายความผิดฐาน “ ยักยอกทรัพย์สินของวัด
” พฤติการณ์เหล่านั้นได้แก่:
• การโอนเงินวัดไปให้บุคคลอื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว : เช่น การโอนเงินหลายร้อยล้านถึงพันล้านบาทให้ สีกา ก.
และการโอนเงินไปให้ สีกา บ. เพื่อนำไปสร้างอาณาจักรและทรัพย์สินส่วนตัวในหลายจังหวัด
• การนำเงินวัดไปใช้ในการพนัน
: เงินบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีการพนัน
•
การไม่นำเงินรายได้เข้าสู่ระบบบัญชีวัดที่ถูกต้อง : เช่น
การเก็บเงินสดจากการประมูลแผงร้านค้าและเงินกฐินไว้กับเจ้าอาวาสโดยตรง โดยไม่รายงานเข้าระบบ
• การปกปิดไม่แสดงบัญชีวัด : วัดมีบัญชีจำนวนมาก แต่กลับรายงานต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพียงไม่กี่บัญชี
ทำให้เงินจำนวนมหาศาลอยู่นอกเหนือการตรวจสอบ
การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการนำทรัพย์สินของวัด
ซึ่ง เจ้าอาวาสมีอำนาจดูแลจัดการ
ไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลอื่นโดยมิชอบ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการ “ เป็นเจ้าพนักงานของรัฐยักยอกทรัพย์สินของวัด
”
เมื่อ “ เจ้าอาวาสวัด ”
เป็น “ เจ้าพนักงานของรัฐ ” ดังที่กล่าวแล้ว ความผิดคดีนี้จึงมิใช่แค่ ความผิดฐาน
“ยักยอกทรัพย์” ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ ดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น
หากแต่เป็น
ความผิดฐาน “
เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ยักยอกทรัพย์” (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ ) : ซึ่งมีองค์ประกอบความผิด
ดังนี้
ผู้กระทำผิด : เจ้าพนักงาน
ที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือ รักษาทรัพย์
การกระทำ : เบียดบังทรัพย์
นั้นเป็นของตนเองหรือของผู้อื่น โดยทุจริต
หรือยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปโดยทุจริต
บทลงโทษ: จำคุกตั้งแต่ ๕ ปี ถึง ๒๐ ปี
หรือ จำคุกตลอดชีวิต และ ปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๔๐๐,๐๐๐ บาท
และอาจมีความผิดฐาน “ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
หรือโดยทุจริต ( มาตรา ๑๕๗ ) : ซึ่งมีองค์ประกอบความผิด
ดังนี้
ผู้กระทำผิด: เจ้าพนักงาน
การกระทำ:
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
บทลงโทษ: จำคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๑๐ ปี
หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อสังเกต:
มาตรา ๑๔๗ จะเน้นที่ การยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในความดูแลของเจ้าพนักงานโดยตรง
มาตรา ๑๕๗ จะเน้นที่
การกระทำหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่สุจริต
ซึ่งอาจรวมถึงการยักยอกทรัพย์หรือไม่ก็ได้
จะเห็นได้ว่า
การกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔๗ และ ๑๕๗ ถือเป็นความผิดร้ายแรง และมีโทษทางอาญา
หนักกว่า ความผิดฐาน “ ยักยอกทรัพย์” ตาม มาตรา ๓๕๒
คราวนี้มาดูหลักกฎหมายว่าด้วย
"ทรัพย์สินของพระภิกษุ"
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๓
และ ๑๖๒๔ โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศ
:
ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาจากการบริจาค
หรือ ด้วยเหตุอื่นใดในระหว่างที่บวชเป็นพระภิกษุ เมื่อพระภิกษุถึงแก่มรณภาพ
ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น
ข้อยกเว้น : หากพระภิกษุได้จำหน่ายทรัพย์สินนั้นไปในระหว่างมีชีวิตอยู่
หรือทำพินัยกรรมยกให้แก่บุคคลอื่น ทรัพย์สินนั้นจะไม่ตกเป็นของวัด
ทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนบวช:
ทรัพย์สินที่พระภิกษุมีอยู่ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
จะไม่ตกเป็นของวัด และจะตกเป็นมรดกแก่ทายาทโดยธรรมของพระภิกษุ
หรือสามารถจำหน่ายไปตามกฎหมายได้
สิทธิในการรับมรดก:
พระภิกษุ มีสิทธิรับมรดกได้ในฐานะทายาทโดยธรรม
หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกให้ หรือในฐานะผู้รับพินัยกรรม อย่างไรก็ตาม
พระภิกษุจะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่ จะสึกจากสมณเพศ
มาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความ
การจัดการทรัพย์สินของวัด:
วัดเป็น “ นิติบุคคล ” ตามกฎหมาย
ซึ่งหมายความว่า วัดมีสิทธิและหน้าที่ “แยก”ต่างหากจากพระภิกษุ การบริจาคทรัพย์สินให้แก่วัดจะถือเป็นของวัดโดยสมบูรณ์
เว้นแต่ ผู้บริจาคจะเจตนาให้เป็นของพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ การดูแลรักษาและจัดการทรัพย์สินของวัดเป็นอำนาจของเจ้าอาวาส
บทสรุป
กรณี " ทิดแย้ม "
อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และ ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายทรัพย์สินของพระภิกษุในประเทศไทยดังกล่าว
ชี้ให้เห็นถึง ปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดและการทุจริตในวงการสงฆ์
ข้อเสนอแนะ
จากกรณีศึกษาและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
สามารถเสนอแนะแนวทางเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในวงการศาสนาได้ดังนี้:
๑. ยกระดับการตรวจสอบและธรรมาภิบาลทางการเงินของวัด:
๑.๑ เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบบัญชี
: สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
ควรมีบทบาทในการตรวจสอบบัญชีของวัดอย่างโปร่งใสและถี่ถ้วนมากขึ้น โดยไม่จำกัดเพียง
๔ บัญชีที่วัดรายงาน
๑.๒ พัฒนาระบบบัญชีกลาง
: ควรมีการพัฒนาระบบบัญชีที่วัดต้องใช้และรายงานผลอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้สามารถตรวจสอบรายรับรายจ่ายได้ทุกช่องทาง
รวมถึงรายได้ที่ไม่ใช่เงินบริจาคผ่านบัญชีธนาคาร เช่น การประมูลแผงร้านค้า ,
การให้เช่าที่จอดรถ ,การให้บริการฌาปนกิจสถาน ฯลฯ
๒. ส่งเสริมบทบาทภาคประชาชน:
อาจมีการจัดตั้งคณะกรรมการจากภาคประชาชน หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่มิใช่สงฆ์เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและกำกับดูแลการเงินของวัด
๓. บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานะ
"เจ้าพนักงานของรัฐ" อย่างจริงจัง:
๔. การให้ความรู้ทางกฎหมายแก่พระสงฆ์
เพื่อ สร้างความตระหนัก และการใช้ความระมัดระวังในการใช้ การเก็บรักษาเงินของวัด
จาก “ ทิดแย้ม ” สู่ “ ทิดอาชว์ ” ลามไปสู่ “ ทิด........ ” ฯลฯ
ก็เนื่องจาก “ เงิน ” ของวัด หรือ เงินของเจ้าอาวาส
?
เงินมา ...มิจฉา มี ( ไม่เฉพาะ สีกา มา เท่านั้น )
ยังไม่รวม “ นารี พิฆาต พระ ” ที่กำลังเป็นข่าวดัง เจ้าอาวาสวัดดัง ต้องลาสิกขาเป็นจำนวนมาก
ถึงเวลาหรือยังที่จะ สร้าง “ ธรรมาภิบาลทางการเงินของวัด”
เพื่อสร้างศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนที่ประสงค์จะทำบุญเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
มิใช่ เพื่อเจ้าอาวาส หรือพระสงฆ์รูปหนึ่งรูปใดโดยเฉพาะ
·
นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
(อดีต)
รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
(คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
ในสภาผู้แทนราษฎร สมัยที่ ๒๕
๑๐
กรกฎาคม ๒๕๖๘