ปัญหาและข้อจำกัดการดำเนินคดีกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
:
กรณีศาลยกฟ้อง
"บัญชีม้า" ด้วยเหตุฟ้องเคลือบคลุม
โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อาชญากรรมทางเทคโนโลยี
โดยเฉพาะการฉ้อโกงออนไลน์ที่ใช้ " บัญชีม้า " เป็นเครื่องมือ ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแก่ประชาชน
แม้ว่ารัฐจะมีการออกพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นและระงับบัญชีที่เกี่ยวข้อง
แต่ความท้าทายที่สำคัญในกระบวนการยุติธรรมคือ ปัญหาและข้อจำกัดในการดำเนินคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีม้าด้วยเหตุผลว่า " ฟ้องเคลือบคลุม "
คดีที่หนึ่ง
- โจทก์บรรยายฟ้อง
การกระทำความผิดของจำเลยว่าเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระและขอให้ลงโทษตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ โดยการกระทำของจำเลยตามฟ้องข้อ ๑.๑
ที่เป็นความผิดตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.
๒๕๖๖ มาตรา ๙ ( เปิดบัญชีม้า ) มีองค์ประกอบความผิด
ข้อหนึ่งว่า "เปิดและยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน
โดยมิได้เจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง..."
แต่ตามฟ้องข้อ ๑.๒ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวก “ร่วมกันหลอกลวงประชาชน” เป็นการทั่วไปและจากการหลอกลวงดังกล่าว
เป็นเหตุให้จำเลยกับพวกได้เงินไปจากนางสาว ล. ผู้เสียหาย โดยที่ผู้เสียหาย โอนเงินไปยังบัญชี
เงินฝากธนาคาร ก. จำกัด (มหาชน) ของจำเลย ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำความผิด
(ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน) โดยใช้บัญชีเงินฝากดังกล่าวเพื่อตนเองหรือเพื่อกิจการที่จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้อง
ดังนั้น การกระทำตามฟ้องข้อ ๑.๒ นี้
จึงขัดกับลักษณะแห่งความผิดตามฟ้องข้อ ๑.๑ ( เปิดบัญชีโดยมิได้เจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง
) นับว่า เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕)
ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
แม้คู่ความจะมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าว ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ พิพากษายกฟ้อง
คดีที่สอง
– ฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อ จึงขัดแย้งและเคลือบคลุมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาว่า
ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕)
ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็มิอาจลงโทษจำเลยตามฟ้องของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
อาญา มาตรา ๑๘๕ ยิ่งกว่านี้ หากแม้นลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ข้อ
๑.๑ ( ฐาน เปิดบัญชีม้าโดยมิได้เจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง...")
ซึ่งขัดแย้งกับการกระทำของจำเลยตามฟ้องข้อ ๑.๒ ( ฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยใช้บัญชีม้าเพื่อตนหรือกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง)
ย่อมจักเป็นการทำให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เปิดบัญชีม้าต้องถูกลงโทษและต้องรับโทษหนักกว่าผู้กระทำผิดคนอื่นซึ่งเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด
ในมูลเหตุเดียวกัน ( ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน) เพียงเพราะว่า จำเลยเป็นตัวการผู้ทำหน้าที่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร
(บัญชีม้า) เพื่อรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเท่านั้น (จำเลยซึ่งผู้เปิดบัญชีม้าจะต้องรับโทษรวมสองกรรม
คือ เปิดบัญชีม้าและร่วมกันฉ้อโกงฯ ส่วนจำเลยอื่นที่ไม่ได้เป็นผู้เปิดบัญชีม้า กลับรับโทษเพียงกรรมเดียวคือ
ร่วมกันฉ้อโกง เท่านั้น ) ซึ่งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๘๕ เมื่อฟ้องโจทก์เคลือบคลุมด้วยเหตุดังวินิจฉัยดังกล่าว จึงมิอาจลงโทษจำเลยได้
พิพากษายกฟ้อง
วิเคราะห์เหตุแห่งการยกฟ้องด้วยเหตุ
" ฟ้องเคลือบคลุม "
การที่ศาลมีคำสั่งยกฟ้องคดีอาญาด้วยเหตุ
"ฟ้องเคลือบคลุม" เป็นปัญหาทางด้านวิธีพิจารณาความอาญาที่เกี่ยวกับความสมบูรณ์ของคำฟ้อง
ตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คำฟ้องจะต้องบรรยายถึงองค์ประกอบของความผิดอย่างชัดเจนพอสมควร
โดยต้องแสดงข้อเท็จจริงและรายละเอียดแห่งการกระทำผิดเพื่อให้จำเลยสามารถเข้าใจข้อกล่าวหาและสามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
การบรรยายฟ้องที่ "เคลือบคลุม" คือ การบรรยายที่ไม่ชัดเจน ไม่สมบูรณ์
หรือขาดสาระสำคัญที่จำเป็นในการวินิจฉัยความผิด
รวมถึงการบรรยายฟ้องที่มีความขัดแย้งกันว่า...จำเลยกระทำความผิดฐานใดแน่ระหว่างความผิดทั้งสองฐาน
ในกรณีของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ใช้บัญชีม้า
มักเกิดปัญหาในการเชื่อมโยงการกระทำของ “ เจ้าของบัญชีม้า” กับความผิดฐานหลัก
( ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ,
นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ) ทำให้การดำเนินคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
๑. ขาดการระบุบทบาทที่ชัดเจน
: หากโจทก์เพียงบรรยายว่า “ จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่รับโอนเงินจากการฉ้อโกง
โดยไม่ได้บรรยายอย่างชัดเจนว่า จำเลยมีเจตนา หรือย่อมเล็งเห็นผล
ในการร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ต้น หรือเป็น “ตัวการ” หรือเป็นเพียง “ผู้สนับสนุน”
อย่างไร การฟ้องเช่นนี้อาจถือว่าเคลือบคลุมได้
๒. การเชื่อมโยงการกระทำ :
ในความผิดฐานฉ้อโกง ( ตามมาตรา ๓๔๑-๓๔๔ แห่งประมวลกฎหมายอาญา)
หรือความผิดฐานนำเข้าสู่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ (ตามมาตรา ๑๔ แห่ง พ.ร.บ.
คอมพิวเตอร์ฯ ) โจทก์ต้องแสดงให้เห็นว่า การกระทำของจำเลย (การเปิดบัญชีม้าและส่งมอบบัญชีม้า)
เป็นส่วนหนึ่งของการหลอกลวง (ฉ้อโกง , ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน,
ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น หรือ นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้นอย่างไร
การขาดรายละเอียดเหล่านี้อาจทำให้ศาลเห็นว่า คำฟ้องไม่ชัดเจนพอที่จำเลยจะสามารถนำสืบข้อต่อสู้ได้
ซึ่งเป็นหลักประกันสิทธิของจำเลย
๓. เป็นการยากที่จะบรรยายฟ้อง
และ/หรือ นำสืบได้ว่า
จำเลยเปิดบัญชีม้าอย่างเดียวโดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียว อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
พ.ศ. ๒๕๖๖ มาตรา ๙ ( เปิดบัญชีม้า ) ซึ่งมีองค์ประกอบความผิดข้อหนึ่งว่า
"เปิดและยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้เจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง..."
หรือ
จำเลยเข้าไปมีส่วนร่วมโดยได้รับค่าตอบแทนในการเข้าไปร่วมกันฉ้อโกง ,
ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ด้วยการภายหลังเปิดบัญชีม้าแล้วส่งมอบบัญชีม้าให้กับพวกของจำเลยแล้ว
จากนั้นเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยการ “สแกนใบหน้า”
เพื่อเบิกถอนเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดดังกล่าวออกจากบัญชีม้าที่จำเลยได้เปิดแล้วส่งมอบให้พวกของจำเลยนำไปกระทำผิด
อันมีลักษณะการมีส่วนร่วม หรือ เป็นตัวการร่วมกระทำผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกง ,
ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ฯลฯ ”
แต่หากจำเลยเข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องด้วย
เช่น จำเลยกับพวกร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดย
“ ใช้บัญชีม้าที่จำเลยเป็นผู้เปิดดังกล่าว” รับโอนเงินที่ได้มาจากการที่พวกของจำเลยกระทำผิด
ก็อาจทำให้ ไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ฐาน "
เปิดและยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้เจตนาใช้เพื่อตน
หรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง..." ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
พ.ศ. ๒๕๖๖ มาตรา ๙ ทั้งนี้ เนื่องจาก
จำเลยเจตนาใช้บัญชีที่จำเลยเปิด (บัญชีม้า) เพื่อประโยชน์ตนเอง
ผลของการยกฟ้องและทางออกในการดำเนินคดีใหม่
: ฟ้องคดีนี้ใหม่ได้หรือไม่ และจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่?
“
การยกฟ้องด้วยเหตุฟ้องเคลือบคลุม ไม่ถือว่า ศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหา
(Merits)
” แล้ว
การยกฟ้องเนื่องจาก ฟ้องเคลือบคลุม
ถือเป็นคำสั่งทางด้านกระบวนการยุติธรรม (Procedural Order) ที่วินิจฉัยความไม่สมบูรณ์ของรูปคดี
ไม่ใช่การวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่
หรือไม่มีความผิดตามข้อเท็จจริงที่นำสืบ ดังนั้น จึงไม่ถือว่าเป็นฟ้องที่ศาลได้วินิจฉัยในเนื้อหาแล้ว
ผลทางกฎหมาย
คือ โจทก์สามารถนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ ตราบเท่าที่คดียังไม่ขาดอายุความ
และการฟ้องใหม่นี้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (Res Judicata) เนื่องจากศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาในประเด็นแห่งความผิด (เนื้อหา)
ดังที่กำหนดไว้ในหลักการเรื่องฟ้องซ้ำ
แนวทางแก้ไขปัญหาฟ้องเคลือบคลุมในทางปฏิบัติและกฎหมาย:
๑. การปรับปรุงการสอบสวนและคำฟ้อง:
พนักงานสอบสวนจักต้องสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและพนักงานอัยการควรต้องระบุบทบาทของจำเลยที่เป็นบัญชีม้าให้ชัดเจนว่า
จำเลยกระทำในฐานะ “ตัวการร่วม” ในความผิดฐานฉ้อโกง/นำเข้าข้อมูลเท็จ
(ต้องพิสูจน์เจตนาเข้าร่วมกระทำผิดตั้งแต่ต้น) หรือฐานะเป็น “ผู้สนับสนุน”
(กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก)
และต้องระบุพฤติการณ์ที่แสดงถึงการกระทำโดยมี เจตนา
ในการให้ความสะดวกนั้นอย่างละเอียด
๒. การใช้พระราชกำหนดฯ
เพื่อบรรเทาความเสียหาย: แม้การดำเนินคดีอาญาจะติดขัด แต่ผู้เสียหายสามารถใช้กลไกใน
พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
เพื่อบรรเทาความเสียหายเฉพาะหน้าได้
โดยกำหนดให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องระงับการทำธุรกรรมเป็นการชั่วคราว
(ไม่เกินเจ็ดวัน) เมื่อพบ “เหตุอันควรสงสัย” ว่าบัญชีนั้นเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
๓. การเน้นบทบาทผู้สนับสนุน:
หากพยานหลักฐานไม่ถึงขั้นเป็น “ตัวการร่วม” โจทก์ควรบรรยายฟ้องโดยเน้นความผิดฐาน “ผู้สนับสนุน”
การกระทำความผิด (มาตรา ๘๖ ประมวลกฎหมายอาญา) ซึ่งกำหนดให้ผู้สนับสนุนต้องรับโทษ “
สองในสามส่วน” ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น การบรรยายฟ้องในฐานะ
“ผู้สนับสนุน” จะมีข้อจำกัดทางข้อเท็จจริงน้อยกว่าการบรรยายในฐานะ “ตัวการร่วม”
การวิเคราะห์แนวทางแก้ไขปัญหาโดยการ
"ประทับฟ้องไปก่อน"
การที่ศาลยกฟ้องด้วยเหตุฟ้องเคลือบคลุม
อาจสร้างความเสียหายและก่อให้เกิดภาระแก่ผู้เสียหาย (ประชาชน)
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะทำให้กระบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมและค่าเสียหายล่าช้าออกไป ดังนั้น การเสนอให้ศาล “ประทับฟ้อง” ไปก่อน แม้คำฟ้องอาจจะไม่ชัดเจน
เพื่อเปิดโอกาสให้โจทก์ได้สืบพยานเพื่อพิสูจน์บทบาทของจำเลย ไม่ว่าจะเป็นเพียงผู้เปิดบัญชีม้าเพียงอย่างเดียว
หรือ เป็นตัวการร่วมกระทำผิดฐาน ฉ้อโกง / นำเข้าข้อมูลเท็จ,
หรือเป็นผู้สนับสนุนฉ้อโกง ก่อนที่ศาลจะได้พิพากษาลงโทษตามพยานหลักฐานที่ปรากฏนั้น
การปรับใช้กฎหมายอาญาตามบทบาทที่พิสูจน์ได้:
การปรับบทลงโทษตามบทบาทที่พิสูจน์ได้ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสมตามประมวลกฎหมายอาญา
๑. หากพบว่า “ เป็นเพียงผู้เปิดบัญชีม้า”
(โดยไม่มีเจตนา/รู้เห็นการฉ้อโกง) :
หากพิสูจน์ได้แต่เพียงว่า จำเลยเปิดบัญชีม้า
แต่ไม่ถึงขั้นมีเจตนาหรือเล็งเห็นผลการฉ้อโกง/นำเข้าข้อมูลเท็จ และหากไม่มีกฎหมายเฉพาะที่กำหนดความผิดฐาน
"เปิดบัญชีม้า" โดยตรงแล้ว โจทก์ก็อาจไม่สามารถลงโทษจำเลยตามฐานความผิดหลักได้
๒. หากพบว่า “ เป็นตัวการร่วมฉ้อโกง/นำเข้าสู่ข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นเท็จ”
: หากพยานหลักฐานชี้ชัดว่า จำเลยได้ร่วมกระทำความผิดโดยมีเจตนาเป็น “ตัวการ”
ในการฉ้อโกง (มาตรา ๓๔๑-๓๔๔ ) หรือนำเข้าข้อมูลเท็จ ศาลย่อมลงโทษตามบทหนักที่สุดแก่จำเลยฐาน
“ ตัวการร่วม” ได้ (ถ้าความผิดเข้าองค์ประกอบ)
๓. หากพบว่าเป็น
“ผู้สนับสนุน” ฉ้อโกง/เปิดบัญชีม้า : หากจำเลยกระทำด้วยประการใด ๆ
เพื่อช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้กระทำความผิด “ก่อน”หรือ “ ขณะกระทำความผิด”
จำเลยย่อมต้องรับโทษในฐานะ “ผู้สนับสนุน” ซึ่งต้องระวางโทษ “สองในสามส่วน” ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
บทสรุปของแนวทางแก้ไข:
การแก้ปัญหาหลักคือ
การปรับปรุงคำฟ้องให้ละเอียดและชัดเจน
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาฟ้องเคลือบคลุมตั้งแต่แรก
เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการคุ้มครองสิทธิจำเลย โดยพนักงานสอบสวนจะต้องสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดแจ้งว่า
จำเลยเป็นเพียงผู้เปิดบัญชี (บัญชีม้า) โดยไม่ได้มีเจตนาใช้บัญชีดังกล่าวเพื่อประโยชน์ตนเอง
หรือกิจการของตนเอง หรือ จำเลยเข้าไปมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย หรือ
เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐาน ฉ้อโกง ฯ และในขณะเดียวกัน
การใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
เพื่อระงับการทำธุรกรรมในบัญชีม้าตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
นับเป็นมาตรการสำคัญในการช่วยลดความเสียหายแก่ประชาชนได้ทันท่วงที
ก่อนที่คดีอาญาจะเข้าสู่การพิจารณาของศาล.
·
นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการพิเศษฝ่ายชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด
๑ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด
(อดีต)
รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
(คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
ในสภาผู้แทนราษฎร ( สมัยที่ ๒๕)
๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘
